วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิเคราะห์เรื่องสั้น

เรื่องสั้นความสุขของกะทินี้ได้เล่าเรื่องราวของกะทิเด็กหญิงวัย 9 ขวบคนหนึ่งที่กำลังจะสูญเสียแม่ไป เรื่องที่เสียแม่เป็นประสบการณ์สูญเสียสำคัญที่สุดสำหรับกะทิ ความสุขของกะทิได้จากผู้คนที่รักใคร่เมตตาโดยเฉพาะตายายจะดูแลเอาใจใส่ กะทิอยู่กับตายายที่บ้านริมคลองที่เต็มไปด้วยเงียบสงบ อย่างไรก็ดี กะทิยังคิดถึงแม่อยู่เสมอ เพราะเธอรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไปจากชีวิต ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ “แม่” แต่กะทิไม่อยากถามตายายเพื่อไม่อยากให้ตายายลำบากใจ ความสุขของกะทิเป็นนิยายสำหรับทุกคน เพียงแต่มีตัวละครเอกเป็นเด็กเท่านั้นสื่อแนวคิดซึ่งเป็นที่เข้าใจได้สำหรับคนอ่านหลากหลาย
ชีวิตของกะทิเหมือนผิวน้าทะเลสาบ เมื่อมีลมพัดมาเป็นระยะๆ ผิวน้าทะเลสาบจะเกิดคลื่น เมื่อลมหยุด ผิวน้าก็จะกลับมาเหมือนเดิม ซึ่งอยู่เป็นนิ่งๆ ชีวิตที่บ้านริมคลองเป็นชีวิตที่เงียบสงบ เรียบง่าย สบายและสนุกสนาน ผมคิดเป็นผิวน้าทะเลสาบที่อยู่นิ่งๆ ลมที่พัดมาก็ถือเป็นเรื่องที่พบกับแม่และเสียแม่ เมื่อกะทิตัดสินใจกลับบ้านริมคลอง ทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โครงเรื่องของความสุขของกะทิมีการเปิดเรื่องที่บ้านริมคลอง การปิดเรื่องก็อยู่ที่บ้านริมคลอง ส่วนการดำเนินเรื่องจะอยู่ที่บ้านชายทะเลและบ้านกลางเมือง ผมคิดว่าโครงเรื่องนี้เหมือนวงกลมวงหนึ่ง เรื่องราวเกิดที่ไหนก็จบที่นั่น
ตัวละครของเรื่องนี้มีกะทิ ตายาย แม่ น้าฎา พี่ทอง หลวงลุง น้ากันต์ ลุงตอง เป็นต้น ผู้เขียนมีกลวิธีการกล่าวถึงภูมิหลังของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นตา ยาย น้าฎา น้ากันต์ และลุงตอง ผ่านการบอกเล่าของตัวละคร อื่น ๆ เช่น กะทิรับรู้เรื่องราวของคนทั้งสามตามคำบอกเล่าของแม่ “...น้าฎามาฝึกงานในสำนักงานตั้งแต่เป็นนักศึกษา พอเรียนจบแม่ก็รับมาเป็นผู้ช่วย หนูชอบน้าฎาตั้งแต่พบหน้ากันครั้งแรก แม่ถึงแน่ใจว่าเลือกคนไม่ผิด..”.
กะทิเป็นเด็กที่มองโลกด้วยสายตาที่สดใสและงดงาม ถึงแม้จะต้องพบกับเหตุการณ์ที่สร้างความปวดร้าวให้เกิดขึ้นในดวงใจเล็ก ๆ ดวงนี้ แต่กะทิก็เลือกที่จะหยิบฉวยความสุขจากสิ่งรอบตัวมาหล่อเลี้ยงหัวใจเพื่อไม่ให้ชีวิตต้องหม่นเศร้าจนเกินไป เมื่อกะทิมีความทุกข์ กะทิก็รู้จักปลดปล่อยอารมณ์ทุกข์ออกมาอย่างเต็มที่ ไม่ทิ้งให้ความรู้สึกนั้นอ้อยอิ่งอยู่ในหัวใจนานนัก เช่นในตอนที่น้ากันต์เล่าให้กะทิฟังถึงโรคที่แม่เป็นอยู่และแม่จะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน
กะทิเป็นตัวละครเอกของเรื่อง กะทิเป็นเด็กน่ารักกิริยาดีและคิดเป็น กะทิยังเป็นเด็กที่มองโลกในแง่ดี ซึ่งอาจะเป็นเพราะมี “ความรัก” เป็นเกราะคุ้มกัน โลกของกะทิจึงเปี่ยมไปด้วยความสุขและงดงาม กะทิใช้ชีวิตที่เรียบง่าย รับประทานอาหารที่อร่อยได้โดยไม่ต้องใช้วัตถุดิบราคาแพงอย่างอาหารในภัตตาคาร เล่นของเล่นที่หาได้ง่ายตามละแวกนั้น โดยไม่จำเป็นต้องหาของเล่นสีสันสวยงามหรือตุ๊กตาแพงๆ จะเห็นได้ว่ากะทิพึงใจที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นตามอัตภาพของตน ซึ่งสามารถทำให้กะทิมีความสุขได้

1 ความคิดเห็น: